Bittorrent คืออะไรมาดูกันเลยครับ
ดัง นั้น Tracker จึงไม่ต้องมีเน็ตที่แรงเพราะไม่ได้รับส่งไฟล์เอง สิ่งที่ทำให้ BT อยู่ได้ก็คือหลักการที่ผู้ใช้ควรจะส่งไฟล์ขณะเดียวกับที่รับไฟล์ หากมีผู้ใช้มากก็จะเร็วมาก การทำงานของ BT ก็คือการหั่นไฟล์นึงเป็นหลายๆ ส่วน แล้วส่งคนละส่วนไปยังผู้รับหลายคน พอผู้รับเหล่านั้นได้รับส่วนเหล่านั้นก็จะสามารถรับส่งกันเองเพราะต่างกัน ต่างมีชิ้นส่วนที่คนอื่นไม่มี ทำให้ไม่ต้องพึ่งผู้ส่งผู้เดียว
บางคนอ่าจจะยังไม่รู้ว่า P2P คือออะไรมาดูเลยครับ
Peer-to-peer (P2P) เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบ client-client โดยที่ client แต่ละเครื่องมีข้อมูลเก็บอยู่ และสามารถจำลองตนเองเป็น server เพื่อเปิดให้ client เครื่องอื่นๆ สามารถเข้ามาโหลดข้อมูลจากเครื่องของตนเองได้โดยอาศัยพลังงานและ bandwidth ที่เครื่องตนเองมี ซึ่งจะแตกต่างกับการสื่อสารแบบ client-server ที่มี server เก็บข้อมูลไว้เพียงเครื่องเดียว และเปิดให้ client เครื่องอื่นเข้ามาโหลดข้อมูล
จุดเด่นที่ P2P เหนือกว่า client-server คือการกระจายตัวของข้อมูลที่กระจายอยู่ในเครื่อง client ต่างๆ โดยไม่กระจุกตัวอยู่ที่ server เพียงเครื่องเดียว ทำให้ข้อมูลสามารถแพร่กระจายตัวออกไปได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ไม่มีข้อจำกัดที่จะต้องผูกติดอยู่กับ server เครื่องใดเครื่องหนึ่ง ซึ่งมักจะมีปัญหาความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่ลดลงเมื่อจำนวน client เพิ่มสูงขึ้น และอาจมีปัญหาไม่สามารถกระจายข้อมูลได้ถ้า server เครื่องนั้นมีปัญหาด้านการเปิดให้บริการ เช่น ถูกผู้บุกรุกโจมตี หรือถูกสั่งระงับการให้บริการ เป็นต้น
เราสามารถแบ่งประเภทของ P2P ออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
- Pure P2P เครื่อง client แต่ละเครื่องทำหน้าที่เป็นทั้ง client และ server โดยไม่ต้องมี server กลางที่คอยจัดการหรือค้นหาข้อมูล
- Hybrid P2P มีเครื่อง server กลางที่ใช้เก็บข้อมูลของ client ว่า client เครื่องใดมีข้อมูลใดที่เปิดให้โหลดได้บ้าง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาได้ว่าข้อมูลที่ตนเองต้องการโหลดถูกเก็บอยู่ที่ client เครื่องใด
- Mixed P2P มีคุณสมบัติทั้งแบบ Pure P2P และ Hybrid P2P
อย่าง ไรก็ตาม P2P มีข้อด้อยด้าน security ที่เครื่อง client ที่จำลองตนเองเป็น server เพื่อเปิดให้คนอื่นเข้ามาโหลดข้อมูลได้ อาจถูกแฮกหรือถูกโจมตีจากผู้บุกรุก และ P2P ยังอาจเป็นเครือข่ายสำหรับกระจายข้อมูลผิดกฎหมายหรือละเมิดลิขสิทธิ์ และข้อมูลที่มีไวรัสแอบแฝงอยู่ได้อย่างดี
คงพอจะเข้าใจ เรื่อง p2p แล้วนะครับ
ทีนี้มาดู BitTorrent ของเราต่อครับ
BitTorrent ต่างจาก P2P แบบอื่นอย่างไร
P2P แบบอื่นเช่น WinMX,eMule,Kaza,Napster จะเป็นการติดต่อแค่ 1-1 เท่านั้น
คือ 1 ไฟล์ จะมีแค่เพียง 1 Connection ระหว่าง ผู้ส่ง กับผู้รับ เท่านั้น ทำให้มีความเร็วต่ำ
โดยเฉพาะถ้าคนปล่อยไฟล์ โดนคนดูดไฟล์หลายๆคนรุมดูดพร้อมกัน จะช้ามากๆ
และลักษณะการส่งจะเป็นแบบทิศทางเดียว คือ ผู้ส่ง -> ผู้รับ
จึงเหมาะกับแชร์ไฟล์ขนาดเล็กๆเท่านั้นเช่น ไฟล์ MP3 รูป zipขนาดไม่เกิน10M
BitTorrent เป็นการรวมคนปล่อย และคนดูด ไฟล์ใดไฟล์หนึ่ง เข้ามารวมไว้ด้วยกัน
จะมีการติดต่อตามจำนวนคนที่แชร์ไฟล์นั้นอยู่ คือ 1 ไฟล์ จะมีหลาย Connection ทำให้มีความเร็วสูง
แบบเดิมจะรับไฟล์ได้จากคนปล่อยเพียงคนเดียว ส่วน BT ก็จะรับไฟล์จากคนปล่อยได้หลายคน
ลักษณะการส่งจะเป็นแบบส่งต่อ คือคนที่ได้รับไฟล์แล้วก็จะส่งไฟล์ต่อไปให้คนที่ยังไม่ได้อีกที
คือแทนที่จะเป็นคนรับอย่างเดียว ก็จะเป็นทั้งรับ และปล่อย ไปพร้อมๆกัน เวลารุมดูดไฟล์พร้อมกันจึงไม่ช้า
เหมาะกับการแชร์ไฟล์ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 10M ขึ้นไปจนถึง 10G หรือมากกว่านี้
ทีนี้มาดู ความหมายของคำศัพท์ หลักๆที่ควรรู้เกี่ยวกับ BitTorrent กันครับ
1.Tracker
Tracker คือ เครื่องมือ หรือ โปรแกรมในเน็ตที่ทำหน้าที่จัดการประสานการระหว่างผู้ที่ต่อเข้า BitTorrent เมื่อคุณเปิดไฟล์ torrent ตัว client ก็จะติดต่อกับ tracker (ที่ระบุใน torrent) เพื่อขอรายชื่อผู้ที่อยู่ใน swarm ของไฟล์นั้นๆในปัจจุบัน ตัว tracker จะรู้ว่าสมาชิกของ swarm มีชิ้นส่วนไหนของไฟล์รวมทั้งสถานะของสมาชิกแต่ละคน หาก tracker เกิดขัดข้องก็จะไม่สามารถเริ่มโหลดไฟล์นั้นได้ แต่หากโหลดอยู่แล้วก็สามารถโหลดต่อได้
Tracker จะมี 2 แบบคือ
1.ระบบปิด ต้องเป็น Member คิด Ratio ส่วนมากจะเป็นระบบนี้ ข้อดีโหลดได้ไว
คิด Ratio ทำให้คนอยากปล่อย
2.ระบบเปิด ไม่ต้องเป็น Member ไม่คิด Ratio เช่น Suprnova.org ข้อเสีย ปลิงเยอะ โหลดช้า
2. Seeders
Seeder เรียกง่ายๆ ว่า "ผู้แจก" มีหน้าที่แจกไฟล์ หรือ Upload เท่านั้น ไม่สามารถ Download ได้
3. Leecher
เรียกง่ายๆ ว่า "ผู้โหลด" หรือ ตามคำแปลครับ "ปลิง" มีหน้าที่ดูดอย่างเดียว พร้อมกันนั้นทำหน้าที่แจกไฟล์ที่โหลดมาเสร็จแล้วบางส่วนไปในตัวด้วย ซึ่ง Torrent จะทำหน้าที่ในการแยกไฟล์ใหญ่ๆ ไฟล์หนึ่งออกเป็นหลายๆ ชิ้นด้วยกันเรียกได้ว่า Pieces
- ขณะที่คุณกำลัง Upload หรือ เป็นต้น seeder คนแรก ไม่ควร Leech ไฟล์อื่นๆ ควรจะรอให้คนอื่นๆ สามารถ Download จากคุณได้ครบ 100% ซะก่อน นอกจาก/หรือ มีผู้อื่นขยับฐานะจาก Leechers เป็น seeders ช่วยคุณก่อน แล้วจึงเริ่ม Download ไฟล์อื่นที่ต้องการ
- ขณะที่คุณทำหน้าที่เป็น Seeder นั้น คุณควรแจกไฟล์ หรือ ทำหน้าที่เป็น "ผู้แจก" ที่ดีให้ในปริมาณที่เท่าๆ กับที่คุณโหลด (Leech) มาจากคนอื่นๆ เช่น หากคุณโหลดมา 700MB คุณควรจะเปิดค้างไว้ปล่อยให้ทำการ Seed ต่อไปจนถึง 700MB เท่าๆ กับที่คุณโหลดมา (ถ้าแจกได้เท่ากับที่โหลดมาก็จะถือว่าเป็นอัตราส่วน = 100%)
4. Ratio
Raito คือ ค่า Upload หาร Download = Ratio
เช่น หากค่า Upload ของคุณมีค่า 700 MB ค่า Download ของคุณมีค่า 900 MB
ให้นำ 700 หาร 900 จะได้ Raito = 0.875 (หรือ 87.5%)
นั่นคือคุณมีแต้มทั้งหมด 0.875 แต้ม เพื่อใช้ในการ Download ตามเงื่อนไขของ Tracker
ที่ต้องมี Ratio ก็เพื่อป้องกันปลิง(มาดูดอย่างเดียวไม่ยอมปล่อยให้คนอื่น)
ถ้ามีปลิงมากๆ ก็จะคล้าย P2P แบบเดิมคือมีแต่คนดูด ไม่มีคนปล่อย ทำให้โหลดไฟล์กันได้ช้ามากๆ
ส่วนมาก Tracker จะกำหนดต้องมี Ratio มากกว่า 0.3-0.5 ถึงจะสามารถโหลดไฟล์ใหม่ได้
Ratio ที่ดีคือ 1 หรือใกล้เคียง หมายความว่าคุณโหลดไฟล์มาเท่าไหร่ ก็ส่งต่อให้คนอื่นเท่านั้น
5. Snatched
Snatched คือ ผู้ที่ Download ไฟล์ครบ 100%
6.Peer
Peer คือ คนในเครือข่าย Torrent ที่ยังโหลด File ไม่เสร็จ และกำลังโหลดอยู่ รวมทั้ง Upload ให้ Peer คนอื่นๆ ด้วย
อันนี้เป็ฯข้อดีและข้อด้อยของเทคโนโลยี P2P ที่มีต่อธุรกิจนะครับ คงจะพอรู้่กันบ้างแล้วนะครับ
มี การใช้เทคโนโลยี P2P ใน application หลากหลายรูปแบบ เช่น BitTorrent, KaZaA, Napster, Skype เป็นต้น ซึ่งส่งผลทั้งทางบวกและทางลบต่อธุรกิจในปัจจุบันดังนี้
ในด้านบวก เทคโนโลยี P2P ช่วยลดต้นทุนด้านการติดต่อสื่อสารของคนในองค์กรหรือระหว่างองค์กรลง ด้วย application ด้านการติดต่อสื่อสารเช่น Skype ช่วยให้สามารถทำ teleconference ข้ามประเทศได้ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าการใช้โทรศัพท์มาก เนื่องจาก Skype ทำให้เราสามารถพูดคุยกับคู่สนทนาที่อยู่คนละประเทศได้โดยผ่านเครือข่ายอินเทอ ร์เน็ต โดยที่ข้อมูลเสียงมีคุณภาพอยู่ในระดับสูง และสามารถรับส่งข้อมูลเสียงได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากข้อมูลเสียงของผู้พูดจะถูกส่งตรงไปให้ผู้รับโดยที่ไม่ต้องผ่าน server กลางแต่อย่างใด
ในด้านลบ เทคโนโลยี P2P ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ขายข้อมูลดิจิตอลอย่างรุนแรง เช่น ธุรกิจเพลง ธุรกิจภาพยนตร์ และธุรกิจซอฟท์แวร์ เนื่องจากข้อมูลอันมีลิขสิทธิ์เหล่านี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนเครือข่าย P2P ทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ต้องสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล และเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับเครือข่าย P2P ได้ เนื่องจากข้อมูลถูกกระจายไปเก็บไว้ใน client เครื่องต่างๆ โดยที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายกับ client ทั้งหมดได้
หลักๆก็น่าจะมีแค่นี้นะครับ เกี่ยวกับ BitTorrent คราวหน้าค่อยมาอธิบายการใช้โปรแกมกันต่อนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น